ยินดีต้อนรับ บล็อกนี้ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาที่พบของกฏหมายประมงในปัจจุบันและแนวทางการแก้ไข

6.1 ปัญหาที่พบของกฏหมายประมงในปัจจุบัน



1) พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นตัวเงื่อนไขการบังคับใช้กฎหมายต้องรัดกุมและมีเจ้าหน้าที่ควบคุทั่วถึง เช่น ต้องห้ามจับปลาในฤดูผสมพันธุ์ และว่างไข่ ปลาที่เหลือน้อยควรจัดไว้ในพวกที่ต้องสงวนพันธุ์ การดำเนินการป้องกันโดยใช้กฏหมายจะทำได้ผลดีก็ต่อเมื่อ
....... 1.1) มีเครื่องมือ เครื่องใช้ และกำลังคนพอเพียง
....... 1.2) ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตัองปฎบัติงานด้วยความซื่อสัตว์และจริงจัง

ท้องที่ใดที่พนักงานเจ้าหน้าที่เฉื่อยเนือยกฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ กฎหมายประมงก็ถูกเลือกใช้ไปในทางเอื้อประโยชน์กับการทำลายทะเลการที่กฎหมายศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัตินี่เองที่ทำให้มีการอ้างกันว่า กฎหมายดีแต่การปฎิบัติแย่ ซึ่งเป็นความจริงเพียงบางส่วน ทั้งนี้เพราะปรากฎการณ์ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเลือก ปฎิบัติตามกฎหมายประมงแตกต่างกันตามความชอบของบุคคล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปและเป็นประสบการณ์ ซ้ำซาก ได้สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายนั่นเองที่ต้องได้รับการแก้ไข

2) ความสัมฤทธิผลของกฏหมายที่มีอยู่ทำให้เกิดปัญหาสำคัญของทะเลไทยและชาวประมงพื้นบ้านคือ การลดลงอย่างรวดเร็วของสัตว์น้ำ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง และเครื่องมือประมงพื้นบ้านถูกทำลายโดยเรือประมงซึ่งใช้เครื่องมือผิดกฎหมายเข้าไปทำการประมงในเขตหวงห้าม

3) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทะเลและทรัพยากรชายฝั่งมีจำนวนมาก กฎหมายแต่ละฉบับต่างให้อำนาจหน่วยงาน ราชการแต่ละหน่วยงานมีอำนาจการจัดการเหนือพื้นที่ทะเล ชายฝั่งและเกาะ ตลอดจนการควบคุมจำนวนเรือและเครื่องมือการประมง เมื่อหน่วยงานราชการที่มีอำนาจต่างทำงานโดยกฎหมายต่างฉบับแต่บังคับในพื้นที่เดียวกันจึงเกิดความขัดแย้ง และซ้ำซ้อนกัน จนประชาชนโดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ นอกจากนี้ความซ้ำซ้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดช่องโหว่ของกฎหมาย และประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาลดลง

4) ปัญหาการกระจายอำนาจ เนื่องจากโครงสร้างอำนาจและกระบวนการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมศูนย์อำนาจใหญ่อยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกรมประมง การดูแลรักษาทะเลซึ่งเป็นกิจการสาธารณะซึ่งประชาชนควรร่วมกันดำเนินการ จึงถูกทำให้เป็นกิจการของหลวงประชาชนไม่เกี่ยว ถ้าจะเกี่ยวต้องได้รับการอนุมัติหรือคำสั่งจากรัฐมนตรี สังคมไทยจึงไม่สามารถระดมพลังของคนในสังคมเข้าร่วมแก้ไขปัญหาของชาติได้อย่างเป็นจริง ประการสำคัญการรวมศูนย์อำนาจทำให้กลุ่มหรือองค์กรชุมชนที่พยายามดูแลรักษาทรัพยากรชายฝั่งและทะเล นอกจากไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว บางกรณีถูกตั้งข้อหาว่า ทำเกินหน้าที่ของพลเมือง บางกรณีกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย การอาสาของประชาชนเพื่อดูแลรักษาทะเลเป็นการอาสาเพื่อทำความดีให้สังคม ระบบกฎหมายที่กีดกันและให้โทษกับผู้อาสาทำความดีจึงไม่ชอบธรรม และจะนำพาประเทศไปสู่ปัญหา

6.2 แนวทางการแก้ไข

 


2.1 การสร้างความตระหนักของชุมชน อาจมีการให้การสึกษา ในทุกระดับ ทั้งในหลักสูตรในระบบการศึกษาและการประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรประมง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น

2.2 การกระจายโครงสร้างอำนาจและการตัดสินใจให้แก่ชุมชนท้องถิ่น ในการรักษา ออกกฏ ระเบียบให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะ ความจำเป็นในการนำมาใช้ประโยชน์ของทรัพยากรประมง ในท้องถิ่นของตนเอง

2.3 การแก้ไขการขัดแย้งการนำทรัพยากรประมงในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์เชิงกลยุทธ์

2.4 การบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเชิงบูรณาการ ดังแผนภาพ



2.5 การปรับปรุง พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐

มีหลายองค์กรโดยเฉพาะสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ และเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรชายฝั่งและทะเล มีความเห็นร่วมกันว่า พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในเขตชายฝั่ง และการดูแลรักษาทะเล ไม่สามารถดำเนินงานได้บรรลุเป้าหมายของการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างยั่งยืน จึงได้ริเริ่มให้มีการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทะเล การประมวลประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติขององค์กรชุมชน และปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายเพื่อนำข้อความรู้มาสังเคราะห์เป็นร่างพระราชบัญญัติการประมง ที่เกื้อหนุนกับจัดการทะเลอย่างยั่งยืน การศึกษากฎหมายและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทะเล ดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๔๒ - มกราคม ๒๕๔๓ จากนั้นได้จัดการสัมมนาในระดับชุมชนและเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านใน ๑๓ จังหวัดภาคใต้ รวม ๑๔ ครั้ง เพื่อประมวลประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติขององค์กรชุมชน ปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมาย และจัดทำข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายประมงจากองค์ความรู้ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งคลอบคลุมพื้นที่ ๓ ทะเลของภาคใต้ประกอบด้วยทะเลด้านอ่าวไทย ทะเลสาบสงขลา ทะเลอันดามัน ตลอดจนพื้นที่อ่าวและคลองที่เชื่อมต่อกับทะเล เช่น อ่าวปัตตานี อ่าวพังงา คลองปะเหลียน เป็นต้น ในช่วงปี ๒๕๔๓ สมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้าน เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนทะเล และนักวิชาการได้ร่วมกันจัดสัมมนาสังเคราะห์ข้อสรุปจากงานศึกษาและการสัมมนาทั้ง ๑๔ ครั้ง และจัดทำเป็นเนื้อหาร่างพระราชบัญญัติการประมงฉบับประชาชน กล่าวได้ว่า ร่างเนื้อหาพระราชบัญญัติการประมงฉบับชาวประมงพื้นบ้าน จัดทำขึ้นจากประสบการณ์ตรงของคนทะเล ผู้ซึ่งมองปัญหาและเข้าร่วมการแก้ไขปัญหาด้วยสำนึกของการปกป้องมาตุภูมิ

- ปัญหาสำคัญของทะเลไทยและชาวประมงพื้นบ้านคือ การลดลงอย่างรวดเร็วของสัตว์น้ำ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง และเครื่องมือประมงพื้นบ้านถูกทำลายโดยเรือประมงซึ่งใช้เครื่องมือผิดกฎหมายเข้าไปทำการประมงในเขตหวงห้าม ปัญหาทั้ง ๓ มีอาการของปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่หรือจังหวัด เช่น อวนรุนที่ปัตตานีเป็นสาเหตุสำคัญของการทำลายสัตว์น้ำและเครื่องมือทำการประมง นครศรีธรรมราชกับสุราษฎร์ธานีมีทั้งอวนรุน อวนลาก เรือปั่นไฟจับปลากระตักและน้ำเสียจากการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง สงขลานอกจากเครื่องมือการประมงเช่น อวนรุน เรือปั่นไฟปลากะตัก ชาวประมงพื้นบ้านยังเผชิญกับปัญหาการสร้างเขื่อนทะเลสาบสงขลา การพัฒนาอุตสาหกรรมและเมืองซึ่งปล่อยน้ำเสียลงทะเลสาบ

จังหวัดชายฝั่งอันดามันมีการทำลายป่าชายเลนเพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง การสัมปทานทำถ่าน การทำประมงผิดกฎหมายเช่น อวนรุน อวนลาก ระเบิดปลา เมื่อคลื่นลมสงบกองเรือปั่นไฟปลากระตักเดินทางจากฝั่งอ่าวไทยเข้าร่วมกวาดจับสัตว์น้ำ และปัญหาได้รุกคืบไปสู่การประมงผิดกฎหมายในคลองและแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับทะเล ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานานโดยทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ เป็นต้นมา การแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้ในระดับการแก้ไขเฉพาะพื้นที่และเป็นการชั่วคราว เนื่องจากกระบวนการแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่กำหนดไว้โดย พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ ซึ่งบัญญัติให้ฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำเป็นเจ้าของปัญหาและ เป็นผู้มีอำนาจอย่างเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา ด้วยเหตุนี้จังหวัดที่บังเอิญได้พนักงานเจ้าหน้าที่ดี กฎหมายก็ถูกเลือกใช้ไปในทางที่ดี

ก่อนปี ๒๕๐๓ ไทยจับสัตว์น้ำได้ปีละ ๑๕๐ , ๐๐๐ ตัน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง ๑.๕ ล้านตันในปี ๒๕๑๕ และปี ๒๕๒๐ มีการพัฒนาอวนล้อมจับปลาผิวน้ำปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เพิ่มเป็น ๒ ล้านตัน และ ๒.๗๕๓ล้านตันในปี ๒๕๓๖ พร้อมกับปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เพิ่มขึ้น ทะเลไทยเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ปี ๒๕๐๔ สามารถจับสัตว์น้ำในอ่าวไทยได้ชั่วโมงละ ๒๙๘ กิโลกรัม ลดลงเหลือเพียงชั่วโมงละ ๒๐ กิโลกรัมในปี ๒๕๓๒ ขณะที่ดร.เชาวลิต วิทยานนท์ ทำการศึกษาในปี ๒๕๔๑ พบว่า จำนวนการจับลดลงเหลือ ๗ กิโลกรัมต่อชั่วโมง นอกจากนี้ปลาที่จับได้เป็นปลาขนาดเล็กและลูกปลาเศรษฐกิจร้อยละ ๔๐ รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมระบุว่า ปริมาณการจับสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในทะเลไทยไม่ควรเกินปีละ ๑.๔ ล้านตัน แยกเป็นปลาผิวน้ำ ๔๕๐ , ๐๐๐ ตัน ปลาหน้าดิน ๙๕๐ , ๐๐๐ ตัน แต่การประมงทะเลไทยจับสัตว์น้ำสูงกว่า ๒.๕ ล้านตันต่อปี การจับสัตว์น้ำทะเลได้ปริมาณมากขึ้นทั้งๆที่ความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวไทยลดลง เกิดจากการใช้วิธีการประมงที่ทำลายทรัพยากรมากขึ้น ตลอดจนการใช้เครื่องมือประมงที่จับสัตว์น้ำได้มากชนิดกว่าที่ต้องการ ทำให้เกิดการประมงมวลชีวภาพคือมุ่งกวาดล้างสัตว์น้ำทะเลทุกชนิด อธิบดีกรมประมง นายธำรงค์ ประกอบบุญ ยอบรับว่า ปัจจุบันทะเลไทยจับปลาได้น้อยมาก เพราะว่าเราไม่ได้มีการวางแผนการจัดการประมงมาก่อน และปัญหาอวนลาก อวนรุนละเมิดกฎหมายรุกล้ำเข้ามากวาดจับสัตว์น้ำในเขต ๓ , ๐๐๐ เมตร และเขตปิดอ่าว โดยที่กรมประมงยังไม่สามารถดำเนินการเรื่องห้ามทำการประมงในเขต ๓ , ๐๐๐ เมตรให้เป็นรูปธรรม

รายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษาและกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงปลากระตักโดยใช้แสงไฟประกอบ กล่าวถึง ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและประสิทธิภาพของกฎหมายประมงไว้ว่า
..... 1) คดีความผิดตามกฎหมายประมงเป็นคดีขึ้นศาลแขวงต้องส่งฟ้องภายใน ๔๘ ชั่วโมงทำให้เรือประมงสามารถกลับไปทำการประมงได้อีกอย่างรวดเร็ว
..... 2) เป็นคดีที่ทำผิดในทะเลทำให้การจับกุมและรวบรวมพยานหลักฐานยุ่งยาก จึงจับกุมได้เพียงบางส่วนของผุ้กระทำผิดเท่านั้น
..... 3) ปัญหาเรื่องเขตอำนาจสอบสวน (เนื่องจากเขตการปกครองทางทะเลไม่ชัดเจน เมื่อเกิดการกระทำผิดจึงไม่สามารถระบุได้ว่า อยู่ในเขตของอำเภอ จังหวัดใด)
..... 4) ปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องเครื่องมือประมงที่ไม่รวมกับเรือ
..... 5) บทกำหนดโทษเบาทำให้ชาวประมงไม่เกรงกลัวเพราะผลประโยชน์ที่ได้คุ้มค่า
..... 6 ) ไม่มีการริบเรือหรือเครื่องมือประมง เพราะชาวประมงใช้ช่องว่างทางกฎหมายโดยทำสัญญาเช่าแสดงไว้ในการขอคืนของกลางต่อศาล เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓ (๑) กำหนดให้เป็นดุลยพินิจของศาลในการรับทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ให้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด แต่หากทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดจะริบไม่ได้

พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ เริ่มบังคับใช้ช่วงต้นของการพัฒนาการประมงทะเล (ปี ๒๔๙๐ถึง ปี ๒๕๑๕) แต่จากปี ๒๕๑๖ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๒๖ ปีที่การประมงทะเลเริ่มเข้าสู่ยุคของการทำลายตัวเองด้วยการประมงที่ทำลายทรัพยากร และมุ่งกวาดล้างสัตว์น้ำโดยที่การควบคุมและการบังคับใช้ พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ ไม่สามารถหยุดยั้งการทำลาย และในหลายกรณีกฎหมายได้เอื้ออำนวยให้การทำลายล้างทวีความรุนแรงมากขึ้น

- พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ มีช่องว่างที่เปิดให้เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริต ดังมติคณะรัฐมนตรี ๒๕ มกราคม ๒๕๔๓ เรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบเกี่ยวกับการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประมง ๒๔๙๐ ให้แก้ไขพ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐ โดยเพิ่มบทลงโทษผู้ทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายจนทำให้เกิดความ เสียหายแก่ทรัพยากรทางทะเลให้สูงขึ้นใกล้เคียงกับอัตราโทษตามความผิดที่เกิดจากการสร้างความ เสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ และให้เพิ่มบทบัญญัติว่าด้วย การสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เจ้าของเรือหรือเจ้าของเครื่องมือประมงที่ใช้กระทำผิดมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด และให้ริบเรือประมงหรือเครื่องมือนั้นเสีย โดยไม่ต้องคำนึงว่า จะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อปิดช่องว่างของกฎหมายและป้องกันการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่

- พระราชบัญญัติการประมง ๒๔๙๐ ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและการมีส่วนร่วมของบุคคล ชุมชนท้องถิ่นและองค์กรปกครองท้องถิ่น ในการมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษา ใช้ประโยชน์และได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://lms.mju.ac.th/Fisheris_Law/lesson61.php

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น